พระราชวังต้องห้ามเป็นที่รู้จักในหลากหลายชื่อ ในภาษาจีนนั้น ชาวจีนจะเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า กู้กง (จีน: 故宫; พินอิน: Gùgōng) ซึ่งแปลว่า พระราชวังเก่า นอกจากนี้ คำนี้ยังใช้เรียกพระราชวังเก่าตามเมืองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศจีนด้วย
ส่วนคำที่เรารู้จักกันดีว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น แปลมาจากภาษาจีน จื่อจิ้น เฉิง (จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng) ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีเลือดหมู" ด้วยเหตุที่ว่า ห้ามสามัญชนเข้าไปในบริเวณวังหลวงโดยเด็ดขาด และสีเลือดหมูนั้นเป็นสีอาคารและหลังคาโดยทั่วไป
การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามใช้เวลา 14 ปี โดยสร้างอยู่บนพื้นฐานพระราชวังเมือง "ต้าตู" ของราชวงศ์หยวนเมื่อรัชสมัยพระเจ้า "หย่งเล่อ" เป็นที่รวบรวมสติปัญญาและความสามารถของประชาชนจีนในสมัยเมื่อหลายร้อยปีก่อน ตอนก่อสร้างใช้คนงาน 1 ล้านคนและช่าง 1 แสนคน เนื่องจากเงื่อนไขการผลิตของสังคมในสมัยนั้น ทำให้การสามารถก่อสร้างพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้นั้น สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาระดับสูงและเทคนิคทางด้านนวัตกรรมของประชาชนสมัยโบราณของจีนอย่างชัดเจน นอกจากนี้ การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามยังต้องการใช้ต้นไม้จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากทางภาคใต้ของจีน เช่น มณฑลเสฉวน มณฑลกวางสี มณฑลกวางตุ้ง มณฑลยูนนานและมณฑลกุ้ยโจว ประชาชนจำนวนมากมายพากันตัดและขนส่งจากภูเขาและป่าไม้ธรรมชาติมายัังสถานที่ก่อสร้าง ส่วนวัสดุที่เป็นหินส่วนใหญ่ได้มาจากชานเมืองและเขตภูเขาที่ห่างจากกรุงปักกิ่งประมาณ 200-300 กิโลเมตร หินบางชิ้นนั้นมีน้ำหนักถึงหลายสิบหรือหลายร้อยตัน เช่น บันไดหินที่อยู่ข้างหลังพระตำหนัก "เป่าเหอเตี้ยน" ก็คือหินแกะสลักรูป " 9 มังกรดั้นเมฆ" ซึ่งก้อนหนึ่งมีน้ำหนักประมาณ 250 ตัน
เมื่อปี 1911 เกิดการปฏิวัติ "ซินไฮ่" โค่นอำนาจรัฐราชวงศ์ชิงลง ความจริงแล้ว พระราชวังต้องห้ามต้องตกเป็นของรัฐ แต่ "เงื่อนไขให้สิทธิพิเศษแก่พระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ชิง" กำหนดไว้ว่า อ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋ จักรพรรดิองศ์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงผู้สละราชสมบัติได้รับการอนุญาตให้ "อยู่ในวังในของพระราชวังต้องห้ามชั่วคราว" หลังจากนั้น อ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋ก็อยู่ในวังนี้ต่ออีก 14 ปี ถึงปี 1924 จอมพลเฝิง ยู่เสียงก่อ "การรัฐประหารปักกิ่ง" ไล่อ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋ออกจากพระราชวังต้องห้าม ทั้งจัดตั้ง "คณะกรรมการจัดการกิจการพระราชสำนักราชวงศ์ชิง" รับมือบริหารพระราชวังต้องห้ามต่อไป หลังจากอ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋ถูกไล่ออกจากพระราชวังต้องห้ามไปแล้ว แต่ฝั่งทางต้วน ฉีรุ่ยและพวกอดีตข้าราชการระดับสูงของราชวงศ์ชิงพากันวางแผนเชิญอ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋กลับพระราชวังต้องห้ามอีก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีนี้ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมปี 1925 รัฐบาลจีนในขณะนั้นได้จัดตั้ง "พิพิธภัณฑ์กู้กง" ขึ้นอย่างเป็นทางการ และเปิดให้เข้าชมด้วย หลังจากปี 1925 พระราชวังต้องห้ามจึงเรียกว่า "กู้กง" หรือ "พระราชวังโบราณ" เนื่องจากพระราชวังต้องห้ามขาดการดูแล โดยเฉพาะในช่วง 38 ปีก่อนปี 1949 สิ่งก่อสร้างต่างๆ เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ พระที่นั่งพังไปหลายแห่ง กองขยะก็ทับถมเหมือนภูเขา
ปี 1949 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้น พอถึงปี 1961 คณะรัฐมนตรีจีนกำหนดพระราชวังต้องห้ามเป็น "โบราณสถานที่ต้องอนุรักษ์เป็นพิเศษระดับชาติ" ของจีน ในช่วงทศวรรษที่ 1950-60 จึงมีการบูรณะซ่อมแซมขนาดใหญ่ เมื่อปี 1987 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติกำหนดให้พระราชวังต้องห้ามเป็น "มรดกวัฒนธรรมโลก" โดยในชื่อปัจจุบันว่า "พิพิธภัณฑ์กู้กง"

โครงสร้างและสถาปัตยกรรม
พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่บนหัวใจปักกิ่ง (the heart of Beijing) นักดาราศาสตร์ชาวจีนโบราณสร้างให้ที่ตั้งนี้เป็นเครื่องหมายแห่งจักรวาล
การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามใช้ช่างฝีมือกว่าหนึ่งแสนคน คนงานมากกว่าหนึ่งล้านคน ไม้ที่ใช้เป็นไม้หนามมู่ เป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดี เอามาจากมณฑลซื่อชวน กว่างตง และยูนาน ส่วนไม้ซุงขนมาจากซื่อชวน เจียงซี เจ๋อเจียง ส่านซี และฮูนาน การตัดและการขนย้ายเป็นเรื่องสุดโหด ไม้เมื่อตัดแล้ว จะต้องทิ้งไว้บนเขาอย่างนั้น รอให้น้ำป่าหลากทะลักพัดมันลงมาเอง จากนั้นจึงค่อยบรรทุกขึ้นเรือมาปักกิ่ง
หินที่ใช้ในการก่อสร้าง นำมาจากฟ่างซาน การขนย้ายต้องจ้างชาวไร่ ขาวนา ในการขนย้ายหินถึง 20,000 คน หินแต่ละก้อนยาว 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร หากเคลื่อนย้ายผ่านภูมิภาคที่เป็นน้ำแข็ง ต้องราดน้ำลงไปเพื่อให้น้ำแข็งละลาย เมื่อมาถึงปักกิ่ง ต้องใช้ม้าและล่อลากหินเป็นพันๆ ตัว
อิฐนำมาจากหลินจิ้ง ในมณฑลซานตง การสร้างต้องใช้อิฐมากกว่าสิบล้านก้อน เพื่อใช้ปูพื้นพระราชวัง และขั้นตอนในการปูพื้นมีกรรมวิธีกว่ายี่สิบขั้นตอน แต่ละพื้นที่ใช้เวลาปูพื้นร่วมปี
การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามใช้ช่างฝีมือกว่าหนึ่งแสนคน คนงานมากกว่าหนึ่งล้านคน ไม้ที่ใช้เป็นไม้หนามมู่ เป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดี เอามาจากมณฑลซื่อชวน กว่างตง และยูนาน ส่วนไม้ซุงขนมาจากซื่อชวน เจียงซี เจ๋อเจียง ส่านซี และฮูนาน การตัดและการขนย้ายเป็นเรื่องสุดโหด ไม้เมื่อตัดแล้ว จะต้องทิ้งไว้บนเขาอย่างนั้น รอให้น้ำป่าหลากทะลักพัดมันลงมาเอง จากนั้นจึงค่อยบรรทุกขึ้นเรือมาปักกิ่ง
หินที่ใช้ในการก่อสร้าง นำมาจากฟ่างซาน การขนย้ายต้องจ้างชาวไร่ ขาวนา ในการขนย้ายหินถึง 20,000 คน หินแต่ละก้อนยาว 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร หากเคลื่อนย้ายผ่านภูมิภาคที่เป็นน้ำแข็ง ต้องราดน้ำลงไปเพื่อให้น้ำแข็งละลาย เมื่อมาถึงปักกิ่ง ต้องใช้ม้าและล่อลากหินเป็นพันๆ ตัว
อิฐนำมาจากหลินจิ้ง ในมณฑลซานตง การสร้างต้องใช้อิฐมากกว่าสิบล้านก้อน เพื่อใช้ปูพื้นพระราชวัง และขั้นตอนในการปูพื้นมีกรรมวิธีกว่ายี่สิบขั้นตอน แต่ละพื้นที่ใช้เวลาปูพื้นร่วมปี
ข้อมูลจาก : wikipedia , http://thai.cri.cn
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น